:: ศรีดอนชัยชื่ออารามนามประเสริฐ   แหล่งกำเนิดวัฒนธรรมล้ำวิถี   ถิ่นไตลื้ออันลือเลื่องเรืองระวี   ชาวงอบนี้ต่างเลื่อมใสใจศรัทธา ::
ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน
 ประวัติหมู่บ้านงอบ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน 
     ที่ตั้ง หมู่บ้านงอบ ตั้งอยู่ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๘๐ สายน่าน-ทุ่งช้าง-เฉลิมพระเกียรติ อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอทุ่งช้าง ๑๐ กิโลเมตร และห่างจากตัวจังหวัดน่าน ๑๐๐ กิโลเมตร
     ลักษณะภูมิประเทศ หมู่บ้านงอบ ตั้งอยู่ในช่องหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน โดยเฉพาะทางทิศตะวันออกสูงมาก มีแม่น้ำงอบไหลผ่านกลางหมู่บ้าน น้ำงอบนี้จะมีน้ำไหลไม่มากนัก ในฤดูแล้งน้ำจะแห้งขอดเป็นช่วง ๆ
     อาณาเขต
  • - ทิศเหนือ ติดกับหมู่ที่ ๖,๗ (บ้านน้ำลาด) และตำบลปอน
  • - ทิศใต้ ติดกับหมู่ที่ ๔ บ้านทุ่งสุน
  • - ทิศตะวันออก ติดกับหมู่ที่ ๑๑ (บ้านมณีพฤษ์)
  • - ทิศตะวันตก ติดกับหมู่ที่ ๒ (บ้านห้วยสะแตง) และหมู่ที่ ๓ (บ้านภูคำ)
     การแบ่งเขตการปกครอง
     บ้านงอบ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๕ หมู่บ้าน โดยใช้ถนนและลำน้ำงอบเป็นเส้นกั้นแบ่ง แต่ละหมู่จะเรียกชื่อ ดังนี้
  • - หมู่ที่ ๑ (บ้านงอบศาลา)
  • - หมู่ที่ ๕ (บ้านงอบเหนือ)
  • - หมู่ที่ ๘ (บ้านงอบใต้)
  • - หมู่ที่ ๙ (บ้านงอบกลาง)
  • - หมู่ที่ ๑๐ (บ้านใต้ร่มโพธิ์ทอง)

  ประวัติของหมู่บ้าน  

แสนยาวิราช ( ขุนงอบ อินทะรังษี ) ผู้ปกครองเมืองงอบ ปี 2455 - 2475
     ชื่อบ้านงอบนี้ ใครตั้งไม่ทราบประวัติ แต่สันนิษฐานว่าไม่ใช่หมายถึงหมวกตามที่พจนานุกรมกล่าวแน่นอน เพราะคำว่า “งอบ” นั้นเป็นภาษาไทยกลาง ชาวบ้านในท้องถิ่นไม่ได้เรียกว่างอบ แต่เรียกหมวกทีมีลักษณะดังกล่าวว่า “กุ๊บ” ผู้มีอายุในหมู่บ้านได้ให้ความเห็นว่า คำว่างอบ อาจเอาชื่อของหมู่บ้านเดิมที่อพยพมา หรืออาจแผลงมาจากคำว่า “ง่อม” ซึ่งแปลว่าเงียบเหงา ก็ได้ เพราะสมัยก่อนมีคนน้อย คงจะเงียบเหงา ก็เลยเรียกว่าหมู่บ้านง่อม เมื่อนานเข้ามีผู้คนมากขึ้นไม่ง่อมเหมือนเมื่อก่อน ๆ แล้ว ก็เลยเปลี่ยนชื่อมาเป็นงอบ ซึ่งคล้ายกับชื่อเดิม หรือไม่ก็เพี้ยนมาเป็นงอบตามวิวัฒนาการทางภาษา
     หมู่บ้านงอบ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ หมู่บ้านหนึ่ง สมัยก่อนเรียกติดปากกันว่า “เมืองงอบ” ประชาชนมีเชื้อสายไทลื้อ พูดภาษาไตลื้อกันทั่วทั้งหมู่บ้าน สมัยก่อนเป็นหมู่บ้านเดียวในอำเภอทุ่งช้างที่พูดภาษาไตลื้อ ปัจจุบันได้แยกไปอยู่ที่หมู่ที่ ๔ (บ้านทุ่งสุน) อีก ๑ หมู่บ้านประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน อพยพมาจากที่ใดเมื่อไร นั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ได้แต่เล่าลือสืบต่อกันมาว่ามาจากสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ภาษาพูดคล้ายกับชาวยองในจังหวัดลำพูน ผู้สืบเชื้อสายไทลื้อในหมู่บ้านได้พยายามสืบค้นหาหลักฐาน เอกสาร ตำรา ร่องรอยหลายแห่งก็ไม่สามารถชี้ชัดได้ ซึ่งมีผู้สืบค้นและเขียนประวัติของชนชาติไทลื้อไว้หลายเล่ม เช่น หนังสือ “ลื้อคนไทยในประเทศจีน” ได้กล่าวถึงตัวอักษรของชาวไทลื้อและวรรณคดีไทลื้อ สุภาษิตที่สำคัญ แบบแปลนบ้าน อาหาร เครื่องดึ่ม ความเป็นอยู่ในครอบครัว การตั้งชื่อเด็กหญิง, ชายตามลำดับขั้น การนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาผี ประเพณีลอยกระทง พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน การละเล่นในเทศกาลต่าง ๆ การเกี้ยวพาราสีระหว่างคนหนุ่มสาว การล่าสัตว์ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับชาวไทลื้อบ้านงอบ จะตรงกันเป็นส่วนใหญ่
     นอกจากนี้ ในหนังสือ ชาติวงศ์วิทยา ว่าด้วยชนชาติเผ่าต่าง ๆ ในประเทศไทย ได้กล่าวถึงชนชาติเผ่าต่าง ๆ มีตอนหนึ่งกล่าวถึงไทลื้อว่า “ถิ่นฐานของพวกไทลื้อส่วนใหญ่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง แต่ก็มีมากที่อพยพมาอยู่ยังฝั่งไทย โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน ลำปาง เชียงราย แพร่และน่าน” ในหนังสือเรื่อง งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย ของหลวงวิจิตรวาทการ มีการกล่าวถึงชาวไทลื้อมีใจความสำคัญคือ “ลื้อเป็นคนไทย มิใช่เป็นคนชาวป่าชาวดอย”
     พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวถึงชาวไตลื้อ ไว้ในหนังสือ ไทย-จีน ว่า “ชาวไทลื้อ เป็นคนไทยที่รู้จักหนังสือ มีดินแดนดั้งเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งมีอาณาเขตอยู่ระหว่างพม่ากับอ่าวตังเกี๋ย การแบ่งแคว้นสองปันนาออกเป็นเมืองใหญ่ถึง ๒๘ เมือง”
     นอกจากนี้ ในปริญญานิพนธ์เรื่อง “วรรณกรรมไทลื้อ” ของชำนาญ รอดเหตุภัย ได้เขียนประวัติการอพยพของชาวไตลื้อว่า “ ชาวไทลื้อมีภูมิลำนาอยู่แคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน อพยพมาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้ง สาเหตุการอพยพก็เพราะบางแห่งในถิ่นเดิมทุรกันดาร ไม่มีพื้นที่ทำมาหากิน ถูกโจรปล้นสดมรบกวน ได้รับการกดขี่ข่มเหงจากชนชาติผู้ปกครองคือจีนฮ่อและพม่า จึงได้อพยพเข้ามาตอนเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงราย ไทลื้อบางพวกได้ถูกกวาดต้อนลงมาเนื่องจากราชวงศ์คำมั่นเมืองเชียงใหม่ พระยาอุปราชหมูล่าเมืองลำปาง ยกไปตีเมืองเชียงรุ้งของไทลื้อ ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพม่า ได้รบพุ่งกันหลายครั้ง ในที่สุด เจ้าเมืองเชียงรุ้งกับท้าวพระยาสิบสองปันนาก็ยอมอ่อนน้อมขอขึ้นอยู่กับพระราชอาณาจักรไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ ( จ.ศ.๑๒๑๘ ) ไทยได้กวาดต้อนเอาครอบครัวไตลื้อจาก เมืองพง เมืองหย่วน เมืองล่า แห่งแคว้น สิบสองปันนา มาไว้ในเขตนครน่านประมาณ พันคนเศษ ”
     สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เขียนบทความเรื่อง “คนไทยที่สิบสองปันนา” ในหนังสือ ข่าวครูไทยในโอกาสที่ได้รับเชิญไปแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย-จีนว่า “ชาวไตลื้อ นอกจากมีดินแดนกว้างใหญ่อยู่ที่ สิบสองปันนาแล้ว ยังกระเซ็นกระสายอพยพโยกย้ายและถูกกวาดต้อนมาเพราะการสงครามแต่ก่อน ลงมาอยู่ ที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ก็มี จังหวัดน่านก็มี ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าเคยถูกกวาดต้อนลงไปที่ภาคใต้ก็มี ทุกวันนี้ชาวไตลื้อในเขตสิบสองปันนาแม้จะอยู่ในดินแดนของจีน แต่ทางการของจีนก็ให้เป็นเขตปกครองตนเอง มีประธานคณะกรรมการเป็นชาวไตลื้อด้วยกัน”
และในพงศาวดารเมืองน่าน ได้กล่าวถึงเรื่องเจ้าหลวงสุมนเทวราช ผู้ครองนครน่านยกทัพขึ้นไปตีสิบสองปันนาไว้ดังนี้
- เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๗๓ เดือน ๖ ลง ๑๓ ค่ำ อาชญาเจ้าหลวงสุมนเทวราชท่านก็ยกเอาพลนิกายโยธาทั้งหลาย ขึ้นเมือตีเอาเมืองล้า เมืองพง ก็ได้ยกรี้พลปงทัพไชยอยู่ท่าขึ้เหล็ก ฯ
- เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๗๔ ตัวเดือน ๓ อาชญาเจ้าหลวงท่านก็กวาดเอาคนครัวเมืองล้า เมืองพง เชียงแขง เมืองหลวงภูคา ลงมาไว้เมืองน่านมีคน ๖๐๐๐ คนหั้นแล ฯ
- เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๗๕ ตัวปีกาเล้า อาชญาเจ้าหลวงท่านก็ล่าถอยกองทัพลงมาเถิงเมืองน่านเดือน ๘ หั้นแล